โฆษณา

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Fwd: น้ำใจเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ของป้าหาบ...แม่ค้า 5 บาท



น้ำใจเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ของป้าหาบ...แม่ค้า 5 บาท







ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสาร ค ฅน 


ยุคสมัยนี้ เดินไปทางไหน หันไปร้านใด ก็มักจะเจอป้ายขอปรับขึ้นราคาสินค้า และอาหารอยู่จนชินตา โดยเจ้าของร้านมักจะอ้างว่า เพราะของมันแพงขึ้น ต้นทุนสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า เพื่อให้สามารถประคับประคองร้านให้อยู่ต่อไปได้


แต่ ทว่า ในอีกมุมหนึ่งของสังคม ยังมีแม่ค้าวัยย่างหกสิบปีคนหนึ่ง ประกอบอาชีพหาบเร่ค้าขายกับข้าวมานานกว่า 30 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ไข่ไก่ยังราคาเพียงฟองละห้าสิบสตางค์ และแม้วันนี้ราคาไข่ไก่จะพุ่งเกือบฟองละ 5 บาท แต่แกก็ยังคงยืดหยัดขายกับข้าวทุกอย่างในราคา 5 บาทเหมือนเมื่อสามสิบปีที่แล้วไม่มีผิดเพี้ยน 


ในเวลาใกล้บ่ายสองของทุกวัน สายตาหลายคู่ในซอยจรัญสนิทวงศ์ 33 แยก 3 จะเฝ้ามองหา ป้าแดง บุญยัง พิมพ์รัตน์ หรือที่ทุกคนเรียกแกว่า "ป้าหาบ" เพื่ออุดหนุนกับข้าวอร่อย ๆ ของแก ที่ทุกวันหาบหน้าของแกจะเต็มไปด้วยมะละกอ ข้าวเหนียว และครก ขณะที่หาบหลังเต็มไปด้วยกับข้าวและขนมหวานใส่ถุงพลาส ติกกองสูงเป็นภูเขา


"ของทุกอย่างป้าแกขาย 5 บาท ที่ขายสิบบาทก็มีอย่างเดียว คือปลาหมึกเท่านั้น แกขายของแกอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยขึ้นราคาสักที" ลูกชายเจ้าของบ้านที่ป้าหาบใช้เป็นพื้นที่ขายของพูดถ ึงป้า


จุด เริ่มต้นของแม่ค้า 5 บาท ต้องย้อนไปตั้งแต่สมัยปี พ.ศ.2520 ที่ป้าหาบเดินทางจากจังหวัดร้อยเอ็ดเข้ามาอยู่กรุงเท พมหานคร และตัดสินใจจะขายส้มตำครกละ 5 บาท ให้คนงานในซอยซึ่งมีรายได้น้อยได้ทานกันอย่างอิ่มท้อ ง จนหลายสิบปีผ่านไป แกก็มีเงินเก็บไปปลูกบ้านที่ร้อยเอ็ดได้หนึ่งหลัง ทั้ง ๆ ที่ขายส้มตำในราคาเพียงครกละ 5 บาท และไม่เคยขยับราคาเลยสักครั้ง แม้ข้าวของจะแพงขึ้น แพงขึ้น เกือบเท่าตัว


"ขายราคานี้เพราะมันขายง่าย คนซื้อก็จ่ายง่าย ทุนฉันแต่ละวันก็พันกว่าบาท ก็พอมีกำไรนิด ๆ หน่อย ๆ ไอ้เรามันไม่มีหนี้สิน ก็อยู่ได้ ไม่ต้องไปโขกเอากำไรกับเขามากเกินไป" ป้าหาบ บอกถึงเหตุผลที่ขายกับข้าวเพียง 5 บาท








ป้าหาบ หรือ ป้าแดง ยังบอกอีกด้วยว่า ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ลูกค้าหาบของแกมีมากหน้าหลายตา ทั้งขาประจำ ขาจร โดยเฉพาะช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี พ.ศ.2540 หาบของแกยิ่งขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ซึ่งถ้าตอนนั้นแกปรับขึ้นราคาก็คงมีกำไรอู่ฟู่ไปแล้ว แต่แกไม่เคยคิดจะขึ้นราคาเลยสักที


"เคยยุให้แกขึ้นราคา แกก็งอนนะ บอกว่าขึ้นแล้วสงสารพวกโรงงาน ป้าแกมองถึงคนล่าง ๆ ที่ซื้อของแกกิน" ลูกค้าประจำ ซึ่งเป็นคุณครูโรงเรียนวัดสุวรรณาราม แอบกระซิบเรื่องของป้าอย่างชื่นชม


หลาย คนสงสัยว่า แกขายกับข้าวในราคาเพียง 5 บาทมาได้อย่างไรตั้งนานกว่า 3 ทศวรรษ แล้วจะมีกำไรหรือ ป้าหาบยิ้มแล้วบอกว่า ตัวแกเองก็จำไม่ได้หรอกว่า ได้กำไรหรือขาดทุนอย่างไร เพราะแกคิดเพียงว่า แม้ แกจะขายข้าวในราคา 5 บาท แต่ตัวแกเองไม่ได้เดือดร้อนอะไร อยากทานอะไรก็ได้ทาน ไม่เคยลำบาก และไม่ทำให้เป็นหนี้ใคร เพราะฉะนั้นก็ยังขาย 5 บาทได้อยู่


นอกจากป้าหาบจะใจดีขายกับข้าวทุกอย่างในราคาถุงละ 5 บาทแล้ว บ่อยครั้งที่จะเห็นแม่ค้าวัยชราคนนี้ หยิบยื่นกับข้าวให้ลูกค้าที่ไม่ค่อยมีเงินได้ทานกันฟ รี ๆ แถมยังให้เสียเยอะจนผู้รับเองยังตกใจ 


"นึก ถึงตัวเองเวลาไม่มี ท้องหิวมันทรมานมากนะ คนเงินเดือนน้อย ๆ ก็อยากให้เขากินอิ่ม บางคนมีเงินมา 10 บาท มาซื้อกับป้า ป้าก็ให้เขาเยอะ ๆ เป็นข้าวเหนียวเป็นอะไรอย่างนี้ บางคนมาไกล ๆ ไม่มีเงินมา ป้าก็ให้ไปบ้าง หรือไม่ก็คิดเขาแค่ครึ่งเดียว 20 บาท เอา 10 บาทพอ" ป้าหาบ บอก








ความใจดีของป้าหาบ อาจจะเป็นเพราะในสมัยสาว ๆ แกเคยลำบากมาก่อน ทำมาหมดแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำนา ทำไร่ เป็นแม่บ้าน สุดท้ายมาจบที่แม่ค้าขายส้มตำ และเก็บหอมรอมริบเรื่อยมาจนพอมีเงินเก็บ แต่แกก็ยังเข้าใจหัวอกของคนยากไร้เป็นอย่างดี 


"ของอย่างนี้นะหนู คนไม่เคยลำบากมาก่อนไม่มีทางเข้าใจหรอก บางทีแค่ยี่สิบบาท เราเห็นว่าน้อยนิด เขาก็หาไม่ได้นะ หรือบางคนย้ายไปอยู่ที่ไกล ๆ มาซื้อของป้า ป้าก็ยิ่งไม่เอาเงินเขาเลย กลัวเขาจะไม่มีค่ารถกลับบ้าน" ป้าหาบ เล่าด้วยความเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน


เคล็ด ลับที่ทำให้ป้าหาบสามารถคงราคา 5 บาทมาได้กว่า 30 ปี ก็ไม่ยากอะไร เพราะป้าหาบแกจะพยายามทำให้ต้นทุนต่ำที่สุด และซื้อวัตถุดิบจากเจ้าประจำทำให้ได้มาในราคาไม่แพงม าก ซึ่งแกก็จะตื่นแต่เช้ามืดมาทำกับข้าวเป็นหม้อ ๆ แล้วหาบของหนัก ๆ ออกมาขายช่วงบ่าย ๆ เป็นประจำเกือบทุกวันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ป้าหาบยังบอกอีกด้วยว่า แกสนุกกับสิ่งที่แกทำ เพราะได้คุยกับคนมากหน้าหลายตา และหากแกหยุดขายไปหนึ่งวันหรือสองวัน วันรุ่งขึ้นจะมีลูกค้ามาตัดพ้อเลยทีเดียว








"ถ้าเขาไม่มี เราก็ให้เขากินได้ เวลาเราไม่มี ก็คงจะมีคนยื่นมาให้เรากินบ้าง เหมือนว่าเราทำบุญ ยิ่งกว่าใส่บาตรอีกนะ การให้คนเขาได้กิน ใส่บาตรบางทีพระมีของกินเยอะ ๆ พระท่านก็ไม่ฉันอันนั้นอันนี้ แต่คนที่ไม่มีจะกิน ให้เขาไปเขาก็กินหมด และอิ่มด้วย ยิ่งบางคนให้ไป เขาไม่ลืมเลย ไปเจอกันอยู่กลางทาง เขาเห็นป้าแล้วบอกดีใจจังเลย นึกถึงที่ป้าให้ของกิน เขาบอกว่าไม่เคยลืมเรา ขนาด 9 ปี 10 ปี มาเจอกันวันนี้ ยังมีคนมาทักป้าเลย" ป้าหาบ เล่าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง


ป้า หาบยังบอกด้วยว่า ชีวิตของแกพอมีพอกิน เงินเก็บก็พอมี หนี้สินไม่มี ลูกเต้าก็โตได้งานทำกันหมดแล้ว เพราะฉะนั้น ชีวิตของแกก็ไม่ได้ลำบากอะไร เช่นนั้นแล้ว เมื่อแกพร้อม ก็สามารถทำอะไรอย่างที่แกอยากจะทำได้ด้วยความสบายใจซ ึ่งสิ่งนั้นก็คือ "การให้" นั่นเอง


เห็นไหมว่า เพียงแค่ความคิดเล็ก ๆ ของป้าหาบที่เจือจานน้ำใจอันยิ่งใหญ่สู่เพื่อนมนุษย์ ด้วยกัน กลับทำให้มุมหนึ่งของสังคมไทยในยุคข้าวยากหมากแพงดูแ ล้วมีความสุขขึ้นมาถนัด ตา

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

FW: : คุณปู่ ไป่ ฟาง ลี่ คนจนผู้ยิ่งใหญ่

เรื่องดี ต้องอ่านๆ
                               
คุณปู่ ไป่ ฟาง ลี่ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ 
 
เรื่องราวของคุณปู่ชาวจีนนามว่า ไป่ ฟาง ลี่ จากเมืองเทียนจิน ผู้ลำบากตรากตรำถีบสามล้อเก็บเงินกว่า 1.7 ล้านบาท แล้วบริจาคให้กับเด็กยากจนที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา ให้ได้มีโอกาสเล่าเรียนเป็นอนาคตของชาติ แต่กลับกันตัวคุณปู่เองกลับใช้ชีวิตอย่างสมถะ และมีชีวิตอย่างพอเพียงในกระท่อมเล็ก ๆ ของตัวเอง         
 
โดยคุณปู่ ไป่ ฟาง ลี่ อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวในกระท่อมเล็ก ๆ ในเมืองเทียนจิน และใช้ชีวิตด้วยรอยยิ้มมาทั้งชีวิต แม้ว่าชีวิตวัยเด็กของคุณปู่จะไม่ได้รับการศึกษาเหมือนกับใครหลาย ๆ คน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณปู่คิดว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นแต่อย่างใด คุณปู่เลือกที่จะมีชีวิตอยู่แบบพอเพียงแต่ก็มีความสุขไปกับสิ่งรอบข้าง และดูเหมือนว่าชีวิตของคุณปู่จะมีความสุขมากกว่าคนที่มีพร้อมทุกอย่างหลาย ๆ คนบนโลกเสียด้วย 
 
ในแต่ละวัน คุณปู่จะปั่นสามล้อคู่ใจออกไปคอยรับส่งผู้โดยสารตั้งแต่ 6 โมงเช้า และกลับบ้านไม่ต่ำกว่า 2 ทุ่มทุกวัน ซึ่งตั้งแต่เช้ายันค่ำ ชีวิตของคุณปู่จะวนเวียนอยู่กับการรับผู้โดยสารจากที่หนึ่ง แล้วพาไปส่งที่ปลายทางโดยปลอดภัย ก่อนจะรอรับผู้โดยสารรายใหม่อีกครั้ง และตลอดทั้งวันที่คุณปู่ตระเวนรับส่งผู้โดยสารนั้น แม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่รอยยิ้มของคุณปู่ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใบหน้า ราวกับว่าสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าคือความสุขที่สุดในชีวิตของคุณปู่เลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น คุณปู่ไม่เคยเกี่ยงเรื่องค่าโดยสาร ไม่เคยตั้งราคาค่าโดยสารเลยสักครั้ง แต่จะให้ผู้โดยสารจ่ายค่าโดยสารตามที่เห็นสมควร และคุณปู่ก็ยิ้มรับมันไม่ว่ามันจะคุ้มค่าเหนื่อยหรือไม่ก็ตาม ส่วนเงินค่าโดยสารที่เก็บได้ในแต่ละวันนั้น คุณปู่ก็เก็บสะสมมาเรื่อย ๆ และไม่เคยอยากได้ อยากมีอะไรเพิ่มเติม คุณปู่ยังคงอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ และประทังชีวิตด้วยอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะทำให้อิ่มได้ทุกมื้อเท่านั้น         
 
จนเมื่อปี พ.ศ. 2529 ขณะที่คุณปู่มีอายุได้ 74 ปี คุณปู่ได้ก็พบเจอกับเรื่องราวสะเทือนใจ ที่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณปู่ให้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากนั้น นั่นคือ วันหนึ่งขณะที่คุณปู่กำลังจอดสามล้อพักหลังจากส่งผู้โดยสารเสร็จแล้ว คุณปู่ได้มองเห็นเด็กชายวัย 6 ขวบคนหนึ่ง กำลังช่วยหญิงสาวคนหนึ่งถือของพะรุงพะรังที่ซื้อมาจากตลาด ซึ่งมันดูหนักมากสำหรับเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนนั้น แต่เขาก็ช่วยหญิงสาวถือของไปจนถึงปลายทางได้ และหญิงสาวก็ได้ให้ค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งแก่เด็กชายคนนั้นไป ซึ่งหลังจากที่เด็กชายได้รับเงินค่าตอบแทน เขาก็มองขึ้นไปบนฟ้าด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ราวจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับเงินที่ได้รับมาในมือ ก่อนที่จะเก็บมันลงในกระเป๋าแล้วไปรับจ้างถือของให้คนอื่น ๆ และทุกครั้งที่ได้รับเงิน เขาก็จะมองไปบนฟ้าด้วยรอยยิ้มอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า         
 
หลังจากนั้นไม่นาน คุณปู่กลับเห็นเด็กชายคนดังกล่าวไปคุ้ยขยะ เพื่อที่จะค้นหาอะไรบางอย่าง และในที่สุด เด็กชายก็หยิบขนมปังสกปรกชิ้นหนึ่งขึ้นมา แสดงท่าทีดีใจก่อนที่จะปัดสิ่งสกปรกออกไปจากขนมปังชิ้นนั้นแล้วกินเข้าไป อย่างมีความสุข ราวกับขนมปังชิ้นนั้นเป็นของขวัญจากสวรรค์ คุณปู่รู้สึกสะเทือนใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก จึงเข้าไปชวนเด็กชายคนดังกล่าวมานั่งทานมื้อเที่ยงด้วยกัน แล้วถามเด็กชายคนดังกล่าวว่า ทำไมจึงไม่เอาเงินที่ได้จากการรับจ้างถือของไปซื้อข้าวกินให้อิ่ม ซึ่งคำตอบที่ได้นั้น ก็ทำให้คุณปู่ถึงกับอึ้ง เมื่อเด็กชายได้บอกกับคุณปู่ว่า "ผมจะเอาเงินไปซื้ออาหารให้กับน้อง ๆ ของผม" ก่อนอธิบายต่อไปว่า พ่อแม่ของเขามีอาชีพคุ้ยขยะไปขายประทังชีวิต แต่แล้ววันหนึ่งพ่อแม่ของเขาก็หายตัวไป และเขาก็ไม่ได้พบกับพ่อแม่อีกเลย ชีวิตของเขาจึงเหลือเพียงน้องสาว 2 คนเท่านั้น         
 
หลังจากได้รับรู้เรื่องราวสุดสะเทือนใจของเด็กชายแล้ว คุณปู่ก็ได้ขอให้เด็กชายพาไปหาน้องสาวทั้งสองคน ซึ่งทันทีที่คุณปู่ไปถึง ก็รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกำลังร้องไห้ออกมา เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือเด็กหญิงวัย 4 และ 5 ขวบ ที่มีเนื้อตัวสกปรกและผ่ายผอม ขณะที่เพื่อนบ้านก็ไม่มีใครสนใจเด็กทั้ง 3 คนเลย จากนั้นคุณปู่จึงได้พาเด็กทั้งสามไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองเทียนจิน และบริจาคเงินทั้งหมดที่เขาเก็บสะสมมาตลอดชีวิตให้กับเด็กกำพร้าที่นี่ เพื่อเป็นค่าอาหารและทุนการศึกษา และตั้งแต่นั้นมา คุณปู่ก็เริ่มทำงานหนักขึ้น เพื่อหาเงินมาบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งถึงแม้จะต้องเหนื่อยมากขึ้น แต่มันก็คุ้มค่าเมื่อเงินที่ได้มาก็มีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน โดยเงินทั้งหมดที่คุณปู่หามาได้หลังจากนั้น คุณปู่จะเจียดไว้นิดหน่อยสำหรับเป็นค่าอาหารในแต่ละวัน นั่นคือ ขนมปัง 2 ชิ้นสำหรับมือเที่ยง และเนื้อกับไข่สำหรับมื้อเย็น นอกนั้นคุณปู่จะบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งหมด         
 
คุณปู่มีความสุขมากกับการทุ่มเททั้งหมดของชีวิตเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า ขณะที่ตัวเองอยู่อย่างสมถะ ที่อาจจะยากจนในสายตาของใคร ๆ แต่สำหรับคุณปู่แล้ว คุณปู่กลับรู้สึกว่าตัวเองร่ำรวยแล้วที่มีบ้านให้อาศัย มีอาหารให้กินทุกมื้อ และมีเสื้อผ้าใส่ เพียงเท่านี้ คุณปู่ก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดียิ่งกว่าใคร ๆ และถึงแม้ว่าตัวเองจะทำงานตลอด 365 วันไม่เคยหยุด ไม่ว่าอากาศจะหนาว จะร้อน หรือหิมะจะตกอย่างไร แต่ถ้ามีใครถามคุณปู่ว่าทำไมถึงต้องทำเพื่อเด็ก ๆ ขนาดนี้ คุณปู่จะบอกเสมอว่า "ไม่เป็นไรหรอกที่จะลำบาก ขอแค่ให้เด็กยากจนได้มีข้าวกิน และได้รับโอกาสทางการศึกษาเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว"         
 
สำหรับการบริจาคเงินของคุณปู่ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2529 ซึ่งมียอดรวมกว่า 1.7 ล้านบาทนั้น คุณปู่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะร้องขอสิ่งตอบแทนใด ๆ จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และคุณปู่ก็ไม่รู้เลยว่าเด็กคนไหนได้รับประโยชน์จากเงินของคุณปู่บ้าง คุณปู่เฝ้าแต่ตรากตรำหาเงินมาให้เด็กกำพร้า จนเมื่อปี พ.ศ. 2545 เมื่อคุณปู่อายุได้ 90 ปี คุณปู่ก็ได้บริจาคเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตจำนวน 2,500 บาทให้กับโรงเรียนสอนเด็กกำพร้า และบอกว่า "ฉันแก่เกินไปและอ่อนแอเกินกว่าจะปั่นสามล้อได้เหมือนเดิมแล้ว ไม่สามารถบริจาคอะไรให้กับเด็ก ๆ ได้อีกแล้ว และนี่คงเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ฉันจะบริจาคให้กับทางโรงเรียน" และนั่นคือคำพูดสุดท้ายของคุณปู่ ก่อนที่คุณปู่จะเสียชีวิตลงอย่างสงบเมื่อปี พ.ศ.2548 ในกระท่อมเล็ก ๆ อันแสนสุขของตัวเอง และงานศพของคุณปู่ก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้เศร้าโศกเสียใจของเด็ก ๆ และครูอาจารย์จากโรงเรียนสอนเด็กกำพร้าที่มีร่วมงานกันอย่าง เนืองแน่น        
 
ณ วันนี้ แม้ว่า คุณปู่ไป่ ฟาง ลี่ ได้ล่วงลับไปนานกว่า 5 ปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าชื่อของคุณปู่ ยังคงถูกนำไปพูดถึงและบอกต่อนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองเทียนจิน รูปคุณปู่ถูกนำไปประดับไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้เด็ก ๆ ได้รำลึกถึงผู้มีพระคุณ ที่แม้จะไม่ได้หวังให้ใครยกย่อง และไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใด ๆ แต่ความดีของคุณปู่ก็คงไม่อาจจะถูกลบลืมไปได้ และมันก็จะยังคงดำรงอยู่อย่างนั้นไปอีกนาน


วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

Fw: วิธีช่วยคนที่ถูกไฟฟ้าช๊อตตาย ( ช่วยได้ครับจริงๆครับ )



 

ไฟฟ้าช๊อต ตายช่วยได้ครับ.....
         ก่อนอื่นผมขอออกตัวนะครับทุกท่าน ว่าไม่ใช่ผู้ที่มีความรู้เลิศเลอ มากมาย เพียงแต่อยากจะนำความรู้ที่พอมี และประสบการณ์มาแบ่งปันกันบ้างในฐานะที่เราอยู่ใต้ร่มโพธิ์ อาศัยพระบารมีของพระองค์ท่าน ไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมาตลอด มีคุณอนันต์ แต่มีโทษมหันต์ครับ ผมไปเรียนซ่อม วิทยุโทรทัศน์ เครื่องขยายเสียงและ..ฯ กับคุณครู ถาวร  คำมณีจันทร์ คนขอนแก่น ท่านเป็นช่างยุคแรก ๆ ของเมืองไทย เคยอยู่โรงเรียนแสงทองวิทยุโทรทัศน์ ,อิเล็กทรอนิคส์กรุงเทพ-รังสิต สุดท้ายกลับบ้านสร้างโรงเรียนสอนซ่อมโทรทัศน์ที่ อ.ชุมแพ ขอนแก่นโน่น ท่านแนะนำเกี่ยวกับคนที่โดนไฟฟ้าช็อตตาย ตายนะครับ อย่าปล่อยไว้นานเกิน 1 ชั่วโมง และอย่าเพิ่งรีบส่งโรงพยาบาล ให้หาทางคลายประจุไฟฟ้าในตัวคนตายก่อน โดยหาแผ่นเหล็ก หรือสังกะสีมาวางคนที่โดนไฟฟ้าช็อตบนนั้น แล้วเทน้ำราด(อย่าให้น้ำเข้าจมูกนะครับ กระแสไฟที่อยู่ในตัวจะถูกคลายประจุลงดินครับ..เขาจะค่อย ๆ รู้สึกตัว หรือร้องลั่น ก็แล้วแต่ ฟื้นแล้วค่อยส่งโรงพยาบาล ผมเคยเจอมากับตัวเองครับ ฟื้นครับ สิบราย ฟื้นทั้งสิบครับ สมัยก่อน นะครับ คนที่ถูกฟ้าลงข้าง ๆ ตัว (ไม่ถึง กะตัวไหม้เกรียมนะครับ)เขาใช้ น้ำเหล้าขาวที่ดื่มกันมาเป่า ก็ ยังฟื้นได้นับประสาอะไรกับน้ำเป็นครุถัง แต่ถ้านำไปโรงพยาบาลทันที โดนปั๊มหัวใจทันที ตับแตกตายแน่นอนครับท่าน สาเหตุเพราะว่ากระแสไฟฟ้าชาร์ทประจุอยู่เต็มตัว ฉะนั้นจึงให้คลายประจุก่อน จึงค่อยส่งโรงพยาบาลและขอแนะนำว่า เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดให้ทำการต่อสายดินเอาที่เส้นโต ๆ หน่อยหาเหล็กแท่งมาตอกลงดินเทน้ำให้ชื้น ๆ คนใช้ ก็ จะปลอดภัยครับส่วนสาเหตุที่ เมื่อต่อสายดินแล้วทำไมไฟฟ้าไม่ช็อตนั้นตามหลักการแล้วกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวนำที่เป็นสื่อทุกชนิด มากน้อยแล้วแต่ความต้านทานของสื่อไฟฟ้าครับ ความต้านทานน้อย กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านมาก ความต้านทานมากกระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านได้น้อย ขอให้ท่านสังเกตุดูนะครับว่าเสาไฟฟ้าแรงต่ำจะมีสายต่อลงดินเป็นระยะ ๆ ไป นั่นก็เป็นการป้องกันในระดับหนึ่งครับ เรื่องของสายล่อฟ้าก็เช่นเดียวกันไม่ใช่ไม่ให้ฟ้าลงนะครับ แต่เป็นการล่อให้มันลงมา ลงมาทีละน้อย ๆ ไง. มันจึงไม่ผ่าเพราะประจุไฟฟ้าไม่มากพอ ถ้าท่านไม่เชื่อ ในขณะครื้มฟ้าครื้มฝนลองไปยืนใกล้ ๆสายล่อฟ้าดูนะครับ จะมีกระแสไฟฟ้าทำให้เราขนลุกได้แต่ไม่มีอันตราย ......ขอจบตรงนี้นะครับ ความดี นี้ขอมอบแด่คุณครู ถาวร คำมณีจันทร์ ผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ครับ...